10 ผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงที่สุด

วิตามินซีกับผิวพรรณเป็นของคู่กัน แล้วคุณรู้หรือไม่ว่า วิตามินซีหาได้ใกล้ตัวคุณ!

วิตามินซีทำให้ผิวพรรณดีขึ้นได้ นอกจากนั้นแล้ววิตามินซียังมีคุณสมบัติหลายอย่างที่จำเป็นต่อร่างกายของเรา และการได้รับวิตามินซีเข้าสู่ร่างกายเองก็มีหลายรูปแบบในปัจจุบัน

วิตามินซีสามารถหาได้ง่ายจากธรรมชาติใกล้ตัวเราด้วยผักและผลไม้ การกินผักและผลไม้ในปริมาณที่พอเหมาะก็จะ ทำให้ร่างกายนั้นได้รับวิตามินซีตามความมของร่างกายได้เหมาะสม

 

ทำความรู้จักกับวิตามินซี

 วิตามินซี หรือชื่อเต็มว่ากรดแอสคอบิค (Ascobic Acid) เป็นวิตามินที่ร่างกายมนุษย์ไม่สามารถสังเคราะห์ได้เอง แต่มีความสำคัญอย่างมากกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ด้วยความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระที่ร่างกายได้รับจากกระบวนการสันดาปของร่างกายและจากมลพิษต่างๆ ที่จะส่งผลให้เซลล์ในร่างกายเสื่อมสภาพ ชะลอริ้วรอยและความแก่ชรา ส่งผลให้มีผิวพรรณที่มีสุขภาพดีขึ้นได้

 

ทำไมเราถึงต้องการวิตามินซี

 นอกจากประโยชน์ในเรื่องของผิวแล้ว วิตามินซียังมีส่วนช่วยในการ ป้องกันหวัด เนื่องจากคุณสมบัติที่ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังช่วยในเรื่องของการป้องกันโรคอื่นๆ เช่น โรคภูมิแพ้ โรคเลือดออกตามไรฟัน โรคที่มาจากการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย เส้นเลือดอุดตันในหลอดลม เป็นต้น  

แหล่งวิตามินซีใกล้ตัวที่เราสามารถพบได้ตามผักและผลไม้ โดยหาซื้อง่ายและมีอยู่ทั่วไปในประเทศไทยที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าผักและผลไม้บางชนิดก็มีวิตามินซีอยู่ในปริมาณที่ร่างกายต้องการใช้งานได้

 

 

5 ผักที่มีวิตามินซีสูง

  

1. พริกหวาน วิตามินซี 80.4 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม

 แม้จะชื่อว่าพริกหวานแต่ก็มีรสชาติที่ไม่เผ็ดเหมือนชื่อ พริกหวานสามารถกินได้ทั้งแบบสดๆ และปรุงสุกในเมนูอาหาร โดยปกติแล้วจะมีสีเขียวเมื่อสุกแล้วจะมีสีแดง ปัจจุบันมีการปรับปรุงพันธุ์ขึ้นใหม่ ทำให้พริกหวานมีทั้งสีแดง สีเหลือง สีม่วง ที่เต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เบต้าแคโรทีน วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 เหล็กและโพแทสเซียม โดยพริกหวานผลที่แก่แล้วจะมีสีแดง เหลือง ส้ม หรือม่วงจะให้วิตามินซีเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าเลยทีเดียว

2. บรอกโคลี วิตามินซี 89.2 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม

 ผักที่มีดอกสีเขียวนี้อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารหลายชนิดซึ่งพบได้ทั้งส่วนดอกและลำต้น การกินควรกินทั้งส่วนดอกและลำต้นร่วมกันจะช่วยต้านโรคมะเร็งได้ บร็อคโคลีเป็นผักที่ไม่ควรนำไปปรุงอาหารด้วยความร้อนที่นานเกินไปเพราะจะทำให้เสียวิตามินและคุณค่าทางอาหาร

3.ผักคะน้า วิตามินซี 147 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม

 ผักคะน้าสามารถกินได้ตั้งแต่ยังมีขนาดเล็กจนกระทั่งออกดอก กับคุณสมบัติที่ช่วยต้านการเกิดมะเร็ง ช่วยให้เซลล์ทำงานได้ดีและกำจัดสารพิษในร่างกาย ผักคะน้าสามารถนำไปประกอบอาหารได้หลายชนิดแต่ควรล้างให้สะอาดเพื่อช่วยลดการตกค้างของสารเคมีก่อนทุกครั้ง

3.ผักปวยเล้ง  วิตามินซี 120 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม

 ผักปวยเล้งอุดมไปด้วยแร่ธาตุต่างๆ อย่าง เหล็ก แคลเซียม โพแทสเซียม และยังมีกรดโฟลิกที่เป็นส่วนประกอบที่จำเป็นในการสร้างสารซีโรโทนินในระบบเซลล์ประสาท ซึ่งทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายและนอนหลับได้สนิท

4.ใบมะรุม วิตามินซี 141 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม

   มะรุมเป็นพืชพื้นบ้านที่นิยมนำมาประกอบอาหารได้หลายอย่าง โดยทุกส่วนของต้นมะรุมสามารถกินได้ ใบของมะรุมมีฤทธิ์เป็นยาระบาย ลดไข้ ช่วยให้นอนหลับสบาย ป้องกันแผลในกระเพราะอาหาร และช่วยต้านอนุมูลอิสระได้

 

 

5 ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง

1.ส้ม วิตามินซี 53.2 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม

 ส้มเป็นผลไม้ยอดฮิตที่คนไทยนิยมกิน ด้วยรสชาติเปรี้ยวหวานที่อุดมไปด้วยวิตามินหลายชนิด และมีให้เลือกกินหลากหลายสายพันธุ์ นอกจากนี้ยังมีใยอาหารที่ช่วยในระบบขับถ่ายให้ดีขึ้น รักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน โดยสามารถกินได้ทั้งจากผลส้มหรือคั้นเป็นน้ำก็ได้

2.มะขามป้อม วิตามินซี 276 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม

 มะขามป้อมเป็นหนึ่งในผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงมาก และถูกใช้เป็นส่วนประกอบของยารักษาโรคหลายชนิด เช่น ไข้หวัดใหญ่ วัณโรค แก้ไอ ภาวะภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เป็นต้น โดยพบว่าในผลของมะขามป้อมมีสารป้องการเกิดออกซิไดซ์ของวิตามินซี ทำให้วิตามินซีไม่เสื่อมสภาพแม้จะถูกความร้อน  

3.สตรอเบอร์รี่ วิตามินซี 58.8 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม

 สตรอเบอร์รี่ถือว่าเป็นผลไม่ที่อุดมไปด้วยโภชนาการที่หลากหลายทั้ง วิตามินและแร่ธาตุ รวมถึงสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดที่ช่วยยับยั้งสารก่อมะเร็ง ช่วยในการบำรุงดวงตาและลดการเสื่อมสภาพของดวงตา และพบว่าในสตรอเบอร์รี่สดจะให้วิตามินในปริมาณมาก

4. ฝรั่ง วิตามินซี 160 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม

 แม้ฝรั่งจะเป็นผลไม้ที่ไม่มีรสเปรี้ยว แต่ก็อุดมไปด้วยวิตามินซีในปริมาณมากโดยพบได้บริเวณเปลือกของฝรั่ง แต่เมื่อฝรั่งสุกแล้วจะมีปริมาณวิตามินซีที่น้อยลง หรือฝรั่งที่ตัดออกจากต้นแล้วทิ้งไว้เป็นเวลานานก็จะทำให้วิตามินซีเสื่อมสภาพลงได้

5. ลิ้นจี่ วิตามินซี 71.5 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม

 ลิ้นจี่เพียงวันละ 3 ผลก็ได้รับปริมาณวิตามินซีที่ร่างกายต้องการได้ ด้วยรสชาติที่หวานหอมและอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ โดยเฉพาะวิตามินบี 1 ที่ช่วยป้องกันอาการเหน็บชา นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงหลอดเลือดและกระดูกและฟัน

 

 

สรุป

 แม้ว่าร่างกายของเราจะไม่สามารถสังเคราะห์วิตามินซีมาใช้งานได้ แต่วิตามินซีก็ยังมีความสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายและเรื่องผิวพรรณที่ดีขึ้น การรับวิตามินซีเข้าสู่ร่างกายผ่านอาหารอย่างผักและผลไม้ในปริมาณที่เหมาะสม ก็ทำให้ร่างกายได้รับวิตามินซีได้

การกินวิตามินจากผักและผลไม้จะทำให้ร่างกายได้รับวิตามินจากแหล่งธรรมชาติที่ดี แต่ต้องระมัดระวังเรื่องของสารเคมีจากการเพาะปลูกให้ดี ก่อนนำมากินทุกครั้งควรนำไปล้างให้สะอาดอย่างถูกวิธี และเข้าใจวิธีการนำไปประกอบอาหารเหมาะสมเพื่อไม่ให้สารอาหารรวมถึงวิตามินซีเสื่อมสภาพได้ง่าย

แหล่งที่มา: กรมอนามัย

3 ข้อที่ควรรู้เกี่ยวกับการลดต้นขาที่ถูกต้อง

 เพียงเวลาล่วงเลยไปแค่ไม่กี่เดือนก่อน หลายคนเปิดดูรูปเก่าๆ แล้วคงต้องร้องว่า “เอาตัวฉันตอนนั้นคืนมา” เพราะตอนนี้รูปร่างของเราดูอวบอิ่มกว่าตอนนั้นมากโข ทั้งพุงที่กำลังย้วย ขาที่กำลังแตกลาย และสะโพกที่กำลังหย่อนคล้อยลง กลายเป็นเรื่องที่หนักใจและเป็นหนทางที่นำไปสู่การอยากลดน้ำหนักอย่างจริงจัง แต่ทำไปทำมากลับไม่ดีขึ้นแถมน้ำหนักยังเพิ่มขึ้นกว่าเดิมเสียอีก

 เมื่ออายุของเราเพิ่มมากขึ้น ระบบเผาผลาญในร่างกายก็จะไม่ได้ทำงานได้ดีเหมือนตอนที่เรายังเป็นวัยรุ่นที่จะกินอะไรหรือทำกิจกรรมอะไรก็ไม่ส่งผลให้เราอ้วนขึ้นมาได้โดยง่าย แต่เมื่อมาถึงในวัยที่กินอะไรก็อ้วนขึ้น ขาใหญ่ขึ้นได้ง่ายๆ ใครๆ ก็อยากได้ขาเรียวเล็กเหมือนในอดีตกลับมา ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากแต่ต้องใช้ความอดทนเพื่อให้ได้ขาที่เรียวกระชับกลับมาอีกครั้ง

 

 1. ก่อนลดต้นขา ต้องเข้าใจก่อนว่าขาที่ใหญ่นั้นเกิดจากอะไร

 เมื่อหลายคนกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาต้นขาที่ใหญ่ขึ้นที่เกิดขึ้นทั้งที่ตัวเองไม่ได้อ้วนขึ้น ก็จะเริ่มตามหาวิธีการลดน้ำหนักทั้งท่าการออกกำลังกาย การกิน ไปจนถึงการศัลยกรรม แต่กลับยังไม่เคยเข้าใจปัญหาและสาเหตุที่แท้จริงของการเพิ่มขึ้นของต้นขาตัวเองเลย

ก่อนการเริ่มลดต้นขา ควรสำรวจที่ขาของคุณก่อนว่า ขาของคุณนั้นใหญ่จากสาเหตุอะไร โดยมีสาเหตุอยู่ 2 อย่าง คือขาใหญ่จากการสะสมไขมัน หรือขาใหญ่จากกล้ามเนื้อ ซึ่งสามารถสำรวจได้ด้วยการนั่งเหยียดขาและใช้มือบีบบริเวณต้นขาและดึงยืดออก ถ้ายืดออกได้มากแสดงว่าต้นขาของคุณใหญ่ขึ้นด้วยสาเหตุของการสะสมไขมันและเซลลูไลต์

 

เซลลูไลต์ (Cellulite) คืออะไร?

เซลลูไลต์ คือการเรียงตัวที่อ่อนแอของเนื้อเยื่อในบริเวณต้นขาและบริเวณอื่นๆ ในร่างกาย ทำให้ต้นขามีผิวที่ขรุขระหรือที่เรียกกันว่าผิวเปลือกส้ม เมื่อมีก้อนไขมันมาสะสมที่ต้นขาเป็นจำนวนมากขึ้นก็ยิ่งทำให้ต้นขามีความหย่อนคล้อยและมีผิวที่ขรุขระ โดยส่วนมากจะเกิดขึ้นกับเพศหญิงเนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ทำให้ไขมันไปสะสมอยู่ตามต้นขาและสะโพก นอกจากนี้ยังเกิดจากการกินแป้ง น้ำตาล ไขมันและอาหารรสจัดมากเกินไป ทำให้เกิดไขมันสะสมไปทั่วร่างกายและเป็นสาเหตุของโรคอ้วนได้

 

 2. รู้จักการกินที่ดีช่วยลดต้นขาได้

ขนมอบกรอบ ของทอด ของมัน เป็นสาเหตุที่ทำให้ต้นขาใหญ่ขึ้นได้ เนื่องจากทำให้ไขมันในร่างกายเพิ่มมากขึ้นและยังส่งผลเสียต่อสุขภาพด้วย การรู้จักการกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากขึ้นก็จะช่วยลดปัญหาของการมีไขมันสะสมได้

 

การอดอาหารช่วยลดต้นขาได้จริงหรือ?

 หลายคนมีความเชื่อว่าการอดอาหารทำให้ผอมลงได้อย่างรวดเร็ว เพราะร่างกายไม่ได้รับอาหารเข้าไปก็จะทำให้ไม่อ้วนได้ จริงๆ แล้วนี่เป็นความเข้าใจผิดอย่างมาก เนื่องจากร่างกายของเราต้องการอาหารเพื่อใช้ในกระบวนการทำงานของร่างกายหลายอย่าง เมื่อเราอดอาหารแล้วก็ทำให้ส่งผลเสียต่อระบบการทำงานของร่างกายรวมถึงด้านอารมณ์ด้วย การอดอาหารจะทำให้คุณมีความหิวเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากร่างกายต้องการพลังงานและสารอาหารไปใช้ทำงาน ทำให้เมื่อคุณกินมื้อต่อไปจะทำให้คุณกินมากขึ้น ซึ่งนอกจากนี้แล้วยังส่งผลในเรื่องการเผาผลาญของร่างกายที่แย่ลง ยิ่งกินเข้าไปก็ทำให้จะทำให้ร่างกายเผาผลาญได้ไม่หมดทำให้สะสมเป็นไขมันในร่างกายเพิ่มมากขึ้น เมื่อคุณอดอาหารบ่อยๆ จะพบว่าคุณอารมณ์เสียและหงุดหงิดง่าย เนื่องจากการขาดแป้งและน้ำตาล อีกทั้งยังส่งผลต่อความคิดที่ช้าลงเนื่องจากได้รับสารอาหารที่ไม่เพียงพออีกด้วย

 

การเลือกกินอาหารช่วยได้

 การเปลี่ยนพฤติกรรมการกินเป็นสิ่งแรกที่จะช่วยให้ต้นขาของคุณนั้นกระชับและลดการสะสมของไขมันลดลงได้ อาหารรสจัดทำให้ไขมันสะสมได้ เนื่องจากการปรุงอาหารให้มีรสจัดนั้นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือความเค็มจากน้ำปลาหรือเกลือ ที่จะส่งผลต่อการมีโซเดียมในร่างกายมากขึ้น ทำให้ร่างกายของเรากักเก็บไขมันส่วนเกินมากขึ้น ดังนั้นการเลือกกินอาหารที่ไม่ต้องปรุงรสจัดมาก จึงจะเป็นผลดีต่อร่างกายมากกว่า อาหารที่มีโพแทสเซียมสูงช่วยปรับสมดุลร่างกายได้ดี เช่น โยเกิร์ต ผลไม้รสเปรี้ยว กล้วย มันฝรั่ง แคนตาลูป มะเขือเทศ ผักใบเขียวทุกชนิด จะช่วยปรับสมดุลน้ำในร่างกายและไม่มีไขมันด้วย หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสหวาน เช่น เค้ก น้ำอัดลม ช็อกโกแลต แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องเลิกกินของพวกนี้เด็ดขาด แต่ควรกินให้น้อยลงและในปริมาณที่เหมาะสมจะเป็นผลดีต่อร่างกายของคุณ การดื่มน้ำอย่างเพียงพอในแต่ละวัน จะช่วยให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างเป็นปกติ และยังช่วยให้ร่างกายขับของเสียได้ดีขึ้น

 

 3. เราไม่สามารถลดต้นขาเฉพาะส่วนได้

 หลายคนมีตารางออกกำลังกายมากมายเพื่อพยายามลดไขมันแค่เพียงบริเวณต้นขา แต่จริงๆ แล้วไม่มีการออกกำลังกายแบบไหนที่สามารถลดไขมันเฉพาะส่วนได้ เนื่องจากการออกกำลังกายหรือการทำกายบริหารไม่ใช่การเคลื่อนไหวร่างกายเพียงแค่ส่วนใดส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นการทำงานร่วมกันของกล้ามเนื้อหลายส่วนที่ส่งผลให้ต้นขาของคุณกระชับขึ้นมาได้ การเลือกออกกำลังกายควรเป็นท่าบริหารที่ให้ร่างกายทำงานร่วมกันได้ครบทุกส่วน เพื่อให้กล้ามเนื้อและส่วนอื่นๆ นอกจากต้นขานั้นแข็งแรงได้อย่างสมบูรณ์

 

ท่าออกกำลังกายลดต้นขา

 สำหรับคนที่มีไขมันต้นขามากแต่กล้ามเนื้อขาไม่มาก การวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่ช่วยลดต้นขาได้ดี ซึ่งนอกจากไขมันต้นขาที่ลดลงแล้วยังทำให้ร่างกายส่วนอื่นๆ กระชับขึ้นด้วยเนื่องจากเป็นการทำงานร่วมกันของกล้ามเนื้อหลายส่วนในขณะวิ่ง ซึ่งนอกจากการวิ่งแล้ว การปั่นจักรยานหรือการกระโดดร่วมด้วยก็จะช่วยเสริมความแข็งแรงของร่างกายยิ่งขึ้น

Squats การทำกายบริหารแบบสควอช เริ่มด้วยการยืนตรงกางขาออกให้กว้างกว่าหัวไหล่เล็กน้อย จากนั้นเหยียดแขนไปด้านหน้าและย่อเข่าลงเหมือนนั่งลงบนเก้าอี้ ทีละ 10-15 ครั้ง 3 รอบ ก็ช่วยให้ต้นขา น่อง สะโพก และลำตัว แข็งแรงและกระชับมากขึ้น

การออกกำลังกายแบบโยคะ สำหรับคนที่ไม่ชอบการออกกำลังกายที่ต้องออกแรงเยอะๆ ท่าออกกำลังกายของโยคะหลายท่าช่วยให้ต้นขา ต้นแขน ลำตัว กระชับและยืดหยุ่นได้ดีขึ้น การแบ่งเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงถึง 1 ชั่วโมงในการบริการร่างกายด้วยโยคะ ที่นอกจากจะช่วยในเรื่องของสุขภาพร่างกายแล้วก็ช่วยให้ผ่อนคลายความเครียดได้เช่นเดียวกัน

 สรุป

 การลดต้นขาสามารถเริ่มต้นทำได้ด้วยตัวคุณเองและต้องใช้ความอดทนอย่างมากในการควบคุมอาหารและการออกกำลังกายอย่างถูกวิธี การมีวินัยในการใช้ชีวิตจะช่วยให้คุณมีสุขภาพร่างกายที่ดียิ่งขึ้น สำหรับเรื่องไขมันที่ต้นขาควรหลีกเลี่ยงการทำศัยลกรรม เช่น การดูดไขมันหรือฉีดสารต่างๆ เข้าสู่ร่างกายเพราะจะได้ผลเพียงระยะสั้นๆ เท่านั้น การออกกำลังกายและควบคุมอาหารจะเป็นผลดีในระยะยาวมากกว่า

 นอกจากนี้การออกกำลังกายและการควบคุมอาหารควรเป็นไปตามความเหมาะสมของร่างกายแต่ละคน ควรทำความเข้าใจในร่างกายของตนเองในข้อดีและข้อด้วยของ กล้ามเนื้อและระบบการย่อยอาหาร เพื่อให้การทำงานของร่างกายเป็นไปอย่างสมบูรณ์และยังช่วยลดการเจ็บป่วยของร่างกายในอนาคตได้อีกด้วย

สถิติผู้เข้าชม

8071014
วันนี้
เมื่อวาน
สัปดาห์นี้
เดือนนี้
เดือนที่แล้ว
ทุกวัน
2033
9242
30947
328251
477960
8071014

กลุ่มงาน

ควบคุมโรคติดต่อ
ควบคุมโรคไม่ติดต่อ สุขภาพจิตฯ
คุ้มครองผู้บริโภคและเภสัชสาธารณสุข
ทันตสาธารณสุข
นิติการ
บริหารทรัพยากรบุคคล
บริหารทั่วไป

และหน่วยงานภายใน

ประกันสุขภาพ
พัฒนาคุณภาพและรูปแบบบริการ
พัฒนายุทธศาสตร์สาธารณสุข
แพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
ส่งเสริมสุขภาพ
อนามัยสิ่งแวดล้อมและอาชีวอานามัย
สำนักงานเลขานุการและอำนวยการ
สหกรณ์ออมทรัพย์

ติดต่อเรา

This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

037 211 626

037 211 124

104 ม.8 ต.รอบเมือง อ.เมืองปราจีนบุรี จ.ปราจีนบุรี 25000
  (เลขเสียภาษี 0994000261438)