หากสีปัสสาวะของเราเปลี่ยนแปลงจากปกติ ก็อาจสร้างความกังวลใจให้แก่เราไม่น้อย โดยการเปลี่ยนสีปัสสาวะไม่ได้บ่งบอกการเกิดโรคหรือสภาวะร่างกายเท่านั้น แต่ยังสามารถเกิดขึ้นมาจากการรับประทานยาได้ อีกเช่นกัน ตัวอย่างยาที่จะทำให้สีปัสสาวะจะมีการเปลี่ยนแปลงไปและไม่ได้ส่งผลเสียร้ายแรงต่อร่างกาย (ในกรณีกินอย่างถูกต้องตามที่แพทย์หรือเภสัชกรแนะนำ) มีดังนี้
สีปัสสาวะ |
ตัวอย่างยา |
ยารักษาวัณโรค ได้แก่ ไรแฟมพิซิน (Rifampicin) และ ไอโซไนอะซิด (Isoniazid) วิตามินบี 12 และวิตามินบี 2 โดยเฉพาะในขนาดสูง ยารักษาโรคทางจิต ได้แก่ คลอโปรมาซีน (Chlorpromazine) และไธโอริดาซีน (Thioridazine) ยาแก้ปวด ลดการอักเสบ ได้แก่ ไอบูโปรเฟน (Ibuprofen) ยาระบาย ได้แก่ ใบมะขามแขก (senna) |
|
น้ำตาล-ดำ |
ยาปฏิชีวนะ ได้แก่ เมโทรนิดาโซล (Metronidazole) ยาคลายกล้ามเนื้อ ได้แก่ เมโทรคาร์บามอล (Methocarbamol) ยาระบาย ได้แก่ ใบมะขามแขก (Senna) สารให้ความหวานแทนน้ำตาล ได้แก่ ซอร์บิทอล (Sorbitol) ซึ่งอาจใช้เป็นยาระบายเช่นกัน |
เขียว-น้ำเงิน |
ยาแก้คลื่นไส้อาเจียน ได้แก่ เมโทโคลพราไมด์ (Metoclopramide) ยารักษาโรคกระเพาะอาหาร ได้แก่ ไซเมทิดีน (Cimetidine) ยาแก้ปวด ลดการอักเสบ ได้แก่ อินโดเมธาซีน (Indomethacin) ยารักษาโรคซึมเศร้า ได้แก่ อะมิทริปไทลีน (Amitriptyrine) ซึ่งอาจใช้รักษาโรคอื่น ยาคลายกล้ามเนื้อ ได้แก่ เมโธคาร์บามอล (Methocarbamol) |
โดยปกติแล้วเภสัชกรมักจะแจ้งผลข้างเคียงนี้ขณะอธิบายวิธีการใช้ยา หรือระบุไว้ในฉลากบนซองยา เพื่อให้ใช้ยาในการดูแลอย่างไม่ต้องเป็นการกังวล แต่หากมีปัสสาวะเปลี่ยนสีขณะใช้ยา ร่วมกับอาการผิดปกติอย่างอื่น หรืออาจบ่งบอกถึงอาการไม่พึงประสงค์ร้ายแรง ต้องรีบไปพบแพทย์ เช่น
ปัสสาวะมีสีแดงถึงน้ำตาล |
มีอาการปวดกล้ามเนื้อ เมื่อใช้ยาลดไขมันในเลือด |
มีจ้ำเลือดตามตัว ขณะกำลังใช้ยาที่เสี่ยงต่อการมีเลือดออกง่าย เช่น ยาแอสไพริน (aspirin) โคลพิโดเกรล (clopidogrel) และวาร์ฟาริน (warfarin) เป็นต้น |
|
ร่วมกับอาการแสดงภาวะเม็ดเลือดแดงแตกเฉียบพลันอื่น ในผู้ที่มีโรคประจำตัวพร่องเอ็นไซม์จีซิกพีดี (G-6-PD deficiency) |
กรณีเกิดการเปลี่ยนสีของปัสสาวะหากท่านไม่แน่ใจว่ามีสาเหตุมาจากอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรงของยาหรือไม่ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษา